วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับของการสร้างความสำเร็จสำหรับน้องใหม่ที่เริ่มต้นทำงาน

ในโลกการหางานทุกวันนี้  จะว่าหางานง่ายก็คงแค่บางตำแหน่ง  จะว่าหางานยากสำหรับบางตำแหน่งก็ใช่ ยิ่งสำหรับน้องใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีมาหมาด ๆ หลายคนบ่นผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาหลายท่านที่สนิทมาเล่าให้ฟังว่า สมัยนี้ ดูเหมือนตำแหน่งงานว่างจะเยอะมาก แต่ตำแหน่งงานที่อยากทำกลับมีน้อย หรือมีแต่ได้ค่าตอบแทนต่ำ  ไม่เห็นจะเป็น 15,000 บาทเหมือนที่รัฐบาลอยากให้ได้รับเลย 
 
ในฐานะที่ผมรับผิดชอบงานด้านการสรรหาและคัดเลือกคนเข้าทำงาน  สิ่งที่อยากบอกน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานกับองค์กรมีอยู่ว่า หากคิดว่าค่าตอบแทนต่ำ  ค่าตอบแทนที่ได้รับเท่าใดก็ไม่น่าจะพึงพอใจ น้องก็จะเปลี่ยนงานหาบ้านหลังใหม่อยู่ร่ำไป  เท่าที่พบหลายคนที่จบทางสายสังคมศาสตร์ (เช่นบริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ ฯลฯ ที่แต่ละปีมีคนจบจนเกลื่อนตลาดแรงงานบ้านเรา) เปลี่ยนงานไปมาอายุก็ปาเข้าไปตั้งเลข 3 นำหน้า  ยังหาประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญไม่ได้ เพราะผ่านงานมาสารพัดทั้งงานธุรการ งานเสมียน งานขายหน้าร้าน (กระทั่งน่าเสียดายกับเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย 4 ปี ที่ไม่ได้ช่วยสร้างความถนัดในการประกอบอาชีพอย่างเพียงพอจะใช้ประกอบอาชีพ)
 
สิ่งที่อยากให้เปลี่ยนมามองมุมใหม่ในที่นี้ก็คือการมองว่า “งาน” คือประสบการณ์ที่แถมเงินค่าตอบแทนให้ในระดับที่เราพอใจตกลงกันตามสัญญาจ้าง  หากทำงานก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มาก เพื่อเอาไว้สร้างโอกาสก้าวหน้าในอนาคต  คิดได้แบบนี้ การเติบใหญ่ในอาชีพก็อยู่ไม่ไกลครับ  
 
ทัศนคติที่ดีกับการทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่น้องใหม่จะต้องสร้างให้มีและคงอยู่ตลอดไป  ในบทความนี้  ผมอยากนำเสนอเคล็ดลับที่นำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิตการทำงานหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย เท่าที่นึกและประมวลมาได้สัก 20 เรื่อง ลองมาติดตามดูกันครับ
 
1.  รู้ถึงความถนัดและความชอบในงาน
 
คนทำงานทุกคน ตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจเริ่มต้นทำงานใดแล้ว ในพื้นฐานก็จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นงานที่ตนเองสนใจ ถนัดและทำได้จริงหรือไม่  ในโลกของการทำงานที่รีบเร่งในปัจจุบัน จะรอให้มานั่งเรียนรู้งานกันตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการก็ไม่น่าจะทันกับการแข่งขัน  ในชีวิตจริง องค์กรจึงต่างต้องการคนทำงานที่มีประสบการณ์ หรือผ่านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพมากบ้าง  เพื่อให้รู้ว่าจะใช้ชีวิตในที่ทำงานอย่างไรจึงไม่ไม่ห่างจากโลกแห่งความจริง และก็เป็นไปได้ว่างานที่ทำกับสิ่งที่เรียนนั้น อาจจะต่างกันอย่างมาก  เรียนจบสารสนเทศทางการบริหาร แต่ไปทำงานคีย์เอกสารก็พบเห็นได้บ่อย  นอกจากนี้ ผมยังหมายถึง ท่านจะต้องรู้ถึงความชอบในงานของหัวหน้างานคนที่ไปทำงานด้วยให้ได้ เพื่อจะได้ “รู้ทาง” ว่าหัวหน้าต้องการเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร  อีกทั้งน้องใหม่ทั้งหลาย ยังพึงต้องคอยรับฟังคำแนะนำที่พี่พี่คนเก่าเล่าให้ฟังประกอบกันด้วย จะได้ไม่เผลอไปทำอะไรที่ “ไม่เข้าทาง” ให้
 
2.  วางแผนมาทำงานก่อนเวลา  
การเดินทางมาทำงานก่อนเวลานั้น  นอกจากจะตอบโจทย์ของการ “ตรงเวลา” ซึ่งเป็นทั้งเรื่องวินัย และเรื่องจิตสำนึกในคราวเดียวกันแล้ว  ผมยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความกระตือรือร้นและให้ความสนใจกับการทำงานอีกด้วย ลองเปรียบเทียบกับคนทำงานที่มาทำงานตรงเวลา  เลิกงานไม่เคยสาย (เลิกงาน 17.00 น. แต่งหน้าตั้งแต่ 16.45 น.)  คนแรกหรือคนสอง ใครจะดูดีกว่ากันครับ
การที่จะวางแผนมาทำงานได้ตามเวลา ท่านผู้อ่านอาจจะต้องลองสำรวจศึกษาเส้นทางสักนิดนึง  เส้นทางใน กทม.ก็มีทั้งที่รถติดและรถลื่นไหลได้  เส้นทางใดจะทำให้เราเดินทางโดยใช้เวลาน้อยที่สุดก็ต้องมาทดลองกัน หากน้องใหม่ทั้งหลายมีพาหนะส่วนตัวที่คุณพ่อคุณแม่จัดการให้ก็ดีไปอย่าง  หากไม่มีแล้ว รถเมล์ก็ยังเป็นขวัญใจของประชาชน ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากอยู่เช่นเดิม ซึ่งก็อาจจะต้องลองนั่งรถเมล์ดูกันล่ะครับ สายไหนถึงที่หมายได้ไวกว่ากัน สายนั้นคือทางเลือก 
 
3.  บอกให้รู้หัวหน้ารู้ในประเด็นของงานที่สำคัญ
 
งานที่สำคัญและได้รับมอบหมายจากหัวหน้ามานั้น  แท้จริงแล้ว แม้หัวหน้าไม่ตามติดมาถาม ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่อยากรู้ความคืบหน้าของงาน จริงมั๊ยครับ  ยังงั้นก็ควรส่งอีเมล์ไปบอกหัวหน้าให้รู้สถานะของงานเสียหน่อย จะช้าหรือจะไวกว่ากรอบเวลาที่กำหนดไว้ก็ยังดีกว่าไม่บอกอะไรเลย  ยิ่งในปัจจุบัน  มีทั้ง LINE ทั้ง WAHTSAPP และสื่อส่งข้อความอื่นให้เขียนเมล์หากันได้โดยไม่ต้องเสียตังค์ ก็ส่งไปเถอะครับ เพียงแต่ระวังอาจจะถูกถามย้อนกลับเช่น ติดปัญหาอุปสรรคอะไรอยู่ ? หรือต้องการให้ (หัวหน้า) ช่วยอะไรหรือเปล่า ? หากเตรียมตัวไม่ดี ตอบไม่ได้ ก็จะกลายเป็นประเด็นไป  ระวังสักนิดนึงครับ     
 
4.  update งานให้หัวหน้าทราบบ่อย ๆ  
 
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง up status เหมือนกัน Facebook นะครับ แต่หมายถึง update ความคืบหน้าของงานให้ชัดเจนอยู่เสมอ ร้องขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำกับการแก้ไขปัญหาเมื่อหาทางออกยังไม่เจอ การทำงานแล้วติดปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายอะไรครับ ตรงกันข้าม นั่นกลับเป็นโอกาสให้คนทำงานได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม  คิดเสียว่า “ไม่มีปัญหา ก็คงคิดหาแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาไม่ได้”  
 
5.  ไม่พลาดเวลานัดทำงาน
เวลานัดหมายไปทำงานกันนอกสถานที่หรือที่ไหน รวมทั้งนัดหมายประชุมก็อย่าได้พลาดเชียวครับ ความไม่ตรงเวลานั้น แม้จะพอแก้ตัวได้ แต่ก็มักมีผลกระทบทางลบตามมาในทางที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือในสายตาของคนอื่นลงไปอย่างที่ท่านอาจจะไม่ได้คาดคิดไว้เลยทีเดียว โดยเฉพาะหากเป็นงานสำคัญที่ขาดเราไม่ได้ ก็ยิ่งต้องการการตรงเวลามากขึ้นเป็นเงาตามตัว  
 
6.  ประเมินผลงานของตัวเองเป็นระยะ
รวมทั้งตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของทั้งหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานอย่างสร้างสรรค์ และก็อย่าได้หมายใจว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในชีวิตการทำงาน จะเหมือนกับคำวิจารณ์รายงานหน้าชั้นของอาจารย์หรืออาจารย์ที่ปรึกษานะครับ  รับรองว่าเป็นหนังคนละม้วน การประเมินตัวเองเป็นระยะ จึงช่วยให้เราเข้าใจว่าสิ่งใดที่ยังต้องมีการปรับปรุง หรือสิ่งใดที่เป็นจุดแข็งที่จะต้องพัฒนาต่อไป  ไม่ควรที่จะรอให้หัวหน้ามาคุยด้วยฝ่ายเดียว เรารู้ตัวเราเองน่ะดีกว่าเป็นไหน ๆ   
 
7.  หลีกเลี่ยงการอัพสถานะ social media อยู่ตลอดเวลา
คนทำงานในโลกที่เทคโนโลยีโทรศัพท์ก้าวหน้าไปเป็น 3G, 4G เช่นปัจจุบัน การเข้าถึงสังคมออนไลน์ง่ายเพียงในฝ่ามือ และใช้ต้นทุนค่าบริการที่ไม่สูงมากเกินไปนัก โลกเสมือนจริง ส่งผลให้คนทำงานนิยมสร้างตัวตนขึ้นมาอีกคนหนึ่ง จากคนที่ไม่เคยให้บริการใคร และไม่เคยใยดีความทุกข์สุขของเพื่อนร่วมงาน  กลายเป็นคนที่ต้องไปเสิร์ฟอาหารเที่ยงให้กับคนแปลกหน้าทุกวันทางเครือข่ายออนไลน์  นานเข้ากลายเป็นสิ่งเสพติดที่แม้แต่จะกินข้าวกลางวันยังต้อง up status ด้วยการถ่ายรูปอาหารมื้อเที่ยงให้ชาวบ้านเค้าน้ำลายไหลกัน ! โปรดอย่าลืมว่า การที่ท่านต้องคอยไป up status ของตัวในโลกออนไลน์นั้น คือการใช้เวลาทำงานขององค์กรไปทำเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรจะต้องทำกันเลย  มองอย่างไรก็ผิดวินัยพนักงานอย่างแน่แท้   งั้นเอาแค่หอมปากหอมคอ หากทนไม่ไหวก็รอให้พักเที่ยงสักนิดแล้วค่อยไป up โน่น นี่ นั่น มันก็ไม่สายครับ
 
8.  ทำงานทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้น
พร้อมกับใส่ใจในรายละเอียดของการทำงาน การทำงานให้สำเร็จนั้น เป็นสิ่งที่วัดฝีมือของคนทำงาน จะต้องว่ากันไปตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน ซึ่งก็ต้องตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบกันเพื่อให้งานเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิผล  หากท่านทั้งหลายมีชื่อภาษาอังกฤษ ผมก็จะขอตั้งชื่อกลางให้ท่านเป็น “can do” ไปเสียเลย อย่างไรกีด ทัศนคติอันเป็นเยี่ยมกับการทำงาน แสดงออกได้ด้วย “รอยยิ้มแบบจริงใจ” มากกว่าเรื่องใดเลยล่ะครับ
 
9.  สร้างภาพลักษณ์ที่ดีใน  social media
คนทำงานยุคนี้ที่ไม่เคยเหยียบย่างเข้าในโลกออนไลน์ ว่ากันไปแล้วก็เชยอย่างได้อารมณ์นะครับ  เมื่อโลกไซเบอร์ ขยับเข้ามาใกล้ชิดกับโลกการทำงานจริง ก็เท่ากับท่านผู้อ่านจะต้องเริ่มต้นสะท้อนภาพลักษณ์ของตนสู่สังคมสาธารณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หากต้องการเป็นมืออาชีพ  ภาพลักษณ์คนทำงานที่มุ่งมั่น ขยันขันแข็งเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องเตรียมไว้สำหรับการณ์ใหญ่ในอนาคตนะครับ จึงต้องพยายามให้สาธารชนเห็นภาพลักณ์ความมืออาชีพของท่านทั้งหลายให้ได้  
 
10. ทำ profile ออนไลน์เก็บไว้บ้างก็ดี  
 
การมีประวัติการทำงาน ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญรวมไว้เป็น Personal Profile เก็บไว้ในสื่อเครือข่ายทางสังคม เป็นสิ่งจำเป็นที่ผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านต้องมี  เพราะไม่แน่เช่นกันว่าองค์กรอีกมากหลายอาจจะจะอยากให้ท่านไปร่วมงานกับเขาในอนาคต นอกจากนี้ การมีตัวตนของเราในโลกไซเบอร์ ยังเป็นช่องทางในการรับเอาความคิดสร้างสรรค์ และข้อมูลใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงพัฒนาตนเองได้ ลองทำดูนะครับ  
 
11.  แนะนำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นทราบบทบาทหน้าที่ของตัวเอง
 
หลายครั้งหลายคราวที่เพื่อนร่วมงานที่ทำงานใกล้ตัวก็ยังไม่ทราบเลยว่า ขอบเขตความรับผิดชอบงานของเรามีอะไรบ้าง พอเป็นแบบนี้  อยากจะฝากเพื่อนร่วมงานให้ช่วยรับเรื่องไว้ก็ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่บุคคลที่เป็นลูกค้าภายนอกมาติดต่องานแต่เราไม่อยู่ ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะต้องให้ไปพูดคุยกับใคร  ส่งผลให้การสื่อสารขาดช่วง หรือเกิดปัญหาการประสานงานสะดุดลงได้ 
 
12.  หยิบยื่นความช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่โอกาสเอื้ออำนวย
 
หากในการทำงานประจำวันหรือในบางวันทำงานไปแล้วพอมีเวลาเหลือ หรือบางสถานการณ์ที่เพื่อนร่วมงานก็ยุ่งอย่างมาก โปรดอย่าได้รีรอที่จะเอื้อเฟื้อด้วยการหยิบยื่นมือไปช่วยเพื่อนทำงาน แม้จะไม่สามารถช่วยงานเพื่อฝูงได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ได้ใจไปมากโขแล้ว การช่วยเหลือกันแบบนี้ ย่อมเป็นภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของหัวหน้างาน และสะท้อนให้เห็นถึงความวางใจได้ของท่านเองนะครับ
 
13.  มองหาพี่เลี้ยงที่มีฝีมือ
 
หากอยากเรียนรู้งานอย่างก้าวกระโดด ก็โปรดอย่ารีรอที่จะสร้างสัมพันธ์กับรุ่นพี่ที่ฝีมือดีดีเอาไว้เพื่อเรียนรู้งาน  และไหว้วานสอบถามให้พี่เค้าสอนงานในบางโอกาส แต่กระนั้น ก็อย่ามัวแต่พึ่งพิงพี่เลี้ยงจนกระทั่งลืมความตั้งใจและเอาใจใส่ที่จะทำงานด้วยตัวเองล่ะครับ 
 
14.  คบบัณฑิต 
โบราณว่าไว้ “คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตหาไปหาผล” คำสอนไทยสมัยก่อนกับแวดวงการทำงานปัจจุบันนั้นก็เปรียบได้กับการที่ท่านจะต้องรู้จักคบคนทำงานที่มีฝีมือดี นอกเหนือจากการมองหาพี่เลี้ยงที่มีฝีมือคอยสอนงาน บัณฑิตนั้น โดยปกติก็คือคนที่คิดแบบวก ๆ มองโลกในแง่ดี มองปัญหาเป็นโอกาสเพื่อปรับปรุงและสร้างผลงานที่ดีในภายหน้า มองหางานที่ท้าทายเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์รองรับการเติบโตในสายอาชีพ ไม่ไปสุงสิงกับพวกคนทำงานที่ชอบเอาแต่ตำหนิคนอื่น แต่มองไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง หรือไปสมาคมกับคนเกียจคร้าน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ได้อะไรแม้แต่น้อย นอกเสียจากผลงานที่แย่ ๆ กับความไม่วางใจที่จะร่วมงานด้วยของทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า  
 
15.  เป็นสมาชิกที่ดีของทีมงาน
 
มีเรื่องเล่าอยู่ว่า “ก่อนที่บัณฑิตจากสำนักฝึกวิชาอันเลื่องชื่อคนหนึ่งจะสำเร็จหลักสูตรที่สู่อุตส่าห์ร่ำเรียนมานานปี  สิ่งที่อาจารย์ใหญ่ให้ศิษย์ผู้เปี่ยมด้วยศักยภาพรายนี้ใคร่ครวญค้นหาคำตอบคือ งานใดที่ทำได้เพียงคนเดียว ศิษย์ผู้มากฝีมือ นั่งคิดนอนคิดใช้เวลาข้ามคืนก็ยังค้นหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายก็นั่งแกะสลักไม้ให้เป็นรูปปั้นอันวิจิตร ก็ยังไม่วายฉุกคิดได้ว่า งานแกะสลักที่ตนบรรจงทำมาค่อนคืนนั้น ก็ต้องอาศัยมีดแกะสลักที่คมกริบจากฝีมือของช่างตีมีดนั่นเอง” เรื่องเล่านี้บอกให้รู้ว่า ไม่มีการทำงานใดที่ทำคนเดียวในโลกหรอกครับ 
 
การทำงานเป็นทีม ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานของคนทำงานยุคนี้ เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะลักษณะงานที่เคยไม่ยุ่งยาก ได้เปลี่ยนมาเป็นภาระที่ซับซ้อนเนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำงานนั้นไม่เป็นอะไรที่ “มองกันแบบง่าย ๆ ” เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา  ในการทำงานเป็นทีมนั้น  ท่านผู้อ่านจะต้องเรียนรู้และฝึกทักษะของการประสานงาน การต่อรอง การให้เครดิตและผ่อนปรนหนักเบากับคนอื่น รู้จักแชร์ความรู้ประสบการณ์ และอีกหลายเรื่องระหว่างกัน  หากทำงานกับคนอื่นแล้วมีแต่จะชวนทะเลาะ สงสัยชีวิตการทำงานจะไม่ “รุ่ง” แน่เลยครับ   
 
16.  มีแผนการพัฒนาเพื่อเป็นมืออาชีพในการทำงาน
 
ด้วยการตั้งเป้าหมายในชีวิต และเป้าหมายในการทำงานที่สอดคล้องต้องกัน ต้องรู้ว่า อะไรที่ตัวเองยังไม่รู้ หรือจำเป็นต้องรู้อะไรเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายได้ตามวัตถุประสงค์ของงาน ในระดับบุคคล จะเป็นไปทางนี้ได้ ท่านคงต้องรู้จักวางแผนการพัฒนาตนเองไปสู่จุดที่มุ่งหมายของชีวิตให้ได้  ส่วนในระดับองค์กร ปกติแล้วก็มักจะมีแผนการพัฒนาที่มุ่งสร้างคนทำงานฝีมือบอด เพื่อให้สร้างผลงานที่เป็นเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างที่ผมบอกไปแล้วหลายหนว่า ทรัพยากรขององค์กรทั้งเงินและเวลานั้น ไม่ได้มีเหลือเฟือเหมือนกับอากาศที่ใช้ไม่หมด  ดังนั้น องค์กรไม่ว่าแห่งใด ก็เลือกที่จะฝึกอบรมพัฒนาคนทำงานที่มีศักยภาพและมีโอกาสสร้างผลงานที่คุ้มค่าเงินที่ลงทุนแลกกับผลงานของคนทำงาน  เมื่อจะพัฒนา จึงมิใช่มองแต่มุมตัวเอง จนลืมที่จะทำตัวให้เป็น “คนที่ใช่” ขององค์กรของท่านนะครับ 
 
17.  เข้าร่วมกลุ่ม ชมรมหรือสมาคมทางวิชาชีพ
 
คนเก่งที่เปี่ยมไปด้วยฝีมือ มักจะค้นหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองจากเครือข่ายทางอาชีพทั้งในรูปแบบของการเป็นสมาชิกหรือไม่เป็นสมาชิก ชมรมหรือสมาคมทางอาชีพนี้  เจตนาหลักก็ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทั้งในทางอาชีพและเพื่อผลประโยชน์ของสังคมในภาพรวม การได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมืออาชีพในสมาคมที่เป็นที่รู้จักนั้น นับได้ว่าเป็น “บันไดดารา” หรือ “ใบเบิกทาง” ไปสู่การมีชื่อเสียงหรือความเชี่ยวชาญในอาชีพได้มากทีเดียว หากท่านจะสังเกตในเอกสารใบสมัครงานของหลายองค์กรก็มักจะมีข้อความที่ให้ระบุว่า การเป็นสมาชิกของชมรมหรือสมาคมทางวิชาชีพใดหรือไม่  หากเรื่องนี้ไม่สำคัญ  เค้าจะถามกันทำไมล่ะครับ ลองคิดดู !
 
18.  ให้คำแนะนำเพื่อนร่วมงานที่ขาดโอกาส
 
เพื่อนร่วมงานของเราหลายคน อาจจะขาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้ลักษณะงาน และลงมือทำงานเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ท้าทาย เนื่องจากลักษณะงานประจำวันนั้นเป็นอะไรที่ routine อย่างมาก หากท่านได้รับโอกาสอันงามที่จะฝึกปรือในงานเรื่องใด  ก็อย่าได้เอาแต่สิ่งดีเข้าตัว จนลืมเผื่อแผ่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่คนอื่นที่ไม่ได้รับเช่นท่านบ้าง ในโลกของการทำงาน คือโลกของการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่างตอบแทนระหว่างกันของคนทำงานกับคนทำงาน และคนทำงานกับองค์กรเสมอ  การยื่นมือให้คำแนะนำหรือถ่ายทอดให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นในเงื่อนไขเช่นนี้  นอกจากจะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ และอิ่มเอิบใจแล้ว ยังเป็นการส่งผ่านความรู้สึกชื่นชมระคนความนับถือระหว่างกันอีกด้วย  ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นเรื่องดีดีทั้งนั้นครับ
 
19.  มีจิตอาสา
 
ในสังคมของคนเรานั้น มีทั้งคนที่มากไปด้วยทรัพย์สมบัติ ในขณะที่อีกหลายคน ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหรือได้หยิบจับทรัพย์สมบัตินั้นเลย คนทำงานในองค์กรเช่นกัน ย่อมมีทั้งคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง เงินเดือนแพงระยิบ  กับพนักงานปฏิบัติการที่ทำงานทั้งเดือนได้เงินเพียงแค่ยังชีพไม่ครบเดือนเสียด้วยซ้ำ  สังคมเราจึงไม่เคยเท่าเทียมกันไม่ว่าจะในโอกาส หรือสิทธิครอบครองทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด  การดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ จึงเป็นไปได้ด้วยการ “ให้และรับ (give and take)” ควบคู่กัน ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน หากมีโอกาสที่จะแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีอยู่มากให้คนอื่นที่ขาดแคลนบ้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเม็ดเงินมหาศาลเช่นเศรษฐีที่ร่ำรวยเงินทอง ก็ขอให้มุ่งมั่นทำอย่างเต็มที่ ผลที่เกิดจากความตั้งใจอันดี ย่อมนำมาซึ่งความสุขมวลรวมของสังคมได้ในที่สุดครับ 
 
20.  เปิดช่องให้ติดต่อได้
 
เมื่อการทำงานไม่ได้อยู่ในโลกส่วนตัวตามลำพัง ย่อมมีทั้งคนที่รักชอบ คนที่ปรารถนาจะให้เราเติบโตในหน้าที่การงาน และผู้ที่คอยให้ความเห็นเพื่อปรับปรุงการทำงาน เป็นต้น จงเปิดใจพร้อมรับทั้งคำติและคำชม แล้วนำเรื่องเหล่านั้นมาคิดไตร่ตรอง มองหาช่องว่างเพื่อพัฒนาตนเอง โอกาสที่จะสำเร็จผลในชีวิตและในงานก็ไม่ไกลเกินไปครับ
 
งานแรกของน้อง ๆ หลังจบจากมหาวิทยาลัย คือก้าวแรกกับการเริ่มต้นชีวิตจริงที่เหลืออีกอย่างต่ำก็ 35 ปีจนกว่าจะเกษียณอายุงาน  จงเริ่มต้นด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม มีเป้าหมาย  และก้าวเดินโดยอาศัยกลเม็ดเคล็ดลับที่ผมนำเสนอไว้เป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติ
 

เรื่องแบบนี้  มีดีให้ลองทำดูครับ !   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น