ในโลกการหางานทุกวันนี้ จะว่าหางานง่ายก็คงแค่บางตำแหน่ง จะว่าหางานยากสำหรับบางตำแหน่งก็ใช่
ยิ่งสำหรับน้องใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีมาหมาด ๆ
หลายคนบ่นผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาหลายท่านที่สนิทมาเล่าให้ฟังว่า สมัยนี้
ดูเหมือนตำแหน่งงานว่างจะเยอะมาก แต่ตำแหน่งงานที่อยากทำกลับมีน้อย
หรือมีแต่ได้ค่าตอบแทนต่ำ ไม่เห็นจะเป็น
15,000 บาทเหมือนที่รัฐบาลอยากให้ได้รับเลย
ในฐานะที่ผมรับผิดชอบงานด้านการสรรหาและคัดเลือกคนเข้าทำงาน
สิ่งที่อยากบอกน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานกับองค์กรมีอยู่ว่า
หากคิดว่าค่าตอบแทนต่ำ ค่าตอบแทนที่ได้รับเท่าใดก็ไม่น่าจะพึงพอใจ
น้องก็จะเปลี่ยนงานหาบ้านหลังใหม่อยู่ร่ำไป
เท่าที่พบหลายคนที่จบทางสายสังคมศาสตร์ (เช่นบริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์
มนุษย์ศาสตร์ ฯลฯ ที่แต่ละปีมีคนจบจนเกลื่อนตลาดแรงงานบ้านเรา)
เปลี่ยนงานไปมาอายุก็ปาเข้าไปตั้งเลข 3 นำหน้า
ยังหาประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญไม่ได้ เพราะผ่านงานมาสารพัดทั้งงานธุรการ
งานเสมียน งานขายหน้าร้าน (กระทั่งน่าเสียดายกับเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย 4 ปี
ที่ไม่ได้ช่วยสร้างความถนัดในการประกอบอาชีพอย่างเพียงพอจะใช้ประกอบอาชีพ)
สิ่งที่อยากให้เปลี่ยนมามองมุมใหม่ในที่นี้ก็คือการมองว่า
“งาน” คือประสบการณ์ที่แถมเงินค่าตอบแทนให้ในระดับที่เราพอใจตกลงกันตามสัญญาจ้าง หากทำงานก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มาก
เพื่อเอาไว้สร้างโอกาสก้าวหน้าในอนาคต
คิดได้แบบนี้ การเติบใหญ่ในอาชีพก็อยู่ไม่ไกลครับ
ทัศนคติที่ดีกับการทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่น้องใหม่จะต้องสร้างให้มีและคงอยู่ตลอดไป ในบทความนี้
ผมอยากนำเสนอเคล็ดลับที่นำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิตการทำงานหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย
เท่าที่นึกและประมวลมาได้สัก 20 เรื่อง ลองมาติดตามดูกันครับ
1. รู้ถึงความถนัดและความชอบในงาน
คนทำงานทุกคน
ตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจเริ่มต้นทำงานใดแล้ว
ในพื้นฐานก็จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นงานที่ตนเองสนใจ ถนัดและทำได้จริงหรือไม่ ในโลกของการทำงานที่รีบเร่งในปัจจุบัน
จะรอให้มานั่งเรียนรู้งานกันตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการก็ไม่น่าจะทันกับการแข่งขัน ในชีวิตจริง
องค์กรจึงต่างต้องการคนทำงานที่มีประสบการณ์
หรือผ่านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพมากบ้าง
เพื่อให้รู้ว่าจะใช้ชีวิตในที่ทำงานอย่างไรจึงไม่ไม่ห่างจากโลกแห่งความจริง
และก็เป็นไปได้ว่างานที่ทำกับสิ่งที่เรียนนั้น อาจจะต่างกันอย่างมาก เรียนจบสารสนเทศทางการบริหาร
แต่ไปทำงานคีย์เอกสารก็พบเห็นได้บ่อย
นอกจากนี้ ผมยังหมายถึง
ท่านจะต้องรู้ถึงความชอบในงานของหัวหน้างานคนที่ไปทำงานด้วยให้ได้ เพื่อจะได้
“รู้ทาง” ว่าหัวหน้าต้องการเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร อีกทั้งน้องใหม่ทั้งหลาย
ยังพึงต้องคอยรับฟังคำแนะนำที่พี่พี่คนเก่าเล่าให้ฟังประกอบกันด้วย
จะได้ไม่เผลอไปทำอะไรที่ “ไม่เข้าทาง” ให้
2. วางแผนมาทำงานก่อนเวลา
การเดินทางมาทำงานก่อนเวลานั้น นอกจากจะตอบโจทย์ของการ “ตรงเวลา”
ซึ่งเป็นทั้งเรื่องวินัย และเรื่องจิตสำนึกในคราวเดียวกันแล้ว ผมยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความกระตือรือร้นและให้ความสนใจกับการทำงานอีกด้วย
ลองเปรียบเทียบกับคนทำงานที่มาทำงานตรงเวลา
เลิกงานไม่เคยสาย (เลิกงาน 17.00 น. แต่งหน้าตั้งแต่ 16.45 น.) คนแรกหรือคนสอง ใครจะดูดีกว่ากันครับ
การที่จะวางแผนมาทำงานได้ตามเวลา
ท่านผู้อ่านอาจจะต้องลองสำรวจศึกษาเส้นทางสักนิดนึง เส้นทางใน
กทม.ก็มีทั้งที่รถติดและรถลื่นไหลได้
เส้นทางใดจะทำให้เราเดินทางโดยใช้เวลาน้อยที่สุดก็ต้องมาทดลองกัน
หากน้องใหม่ทั้งหลายมีพาหนะส่วนตัวที่คุณพ่อคุณแม่จัดการให้ก็ดีไปอย่าง หากไม่มีแล้ว รถเมล์ก็ยังเป็นขวัญใจของประชาชน
ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากอยู่เช่นเดิม
ซึ่งก็อาจจะต้องลองนั่งรถเมล์ดูกันล่ะครับ สายไหนถึงที่หมายได้ไวกว่ากัน
สายนั้นคือทางเลือก
3. บอกให้รู้หัวหน้ารู้ในประเด็นของงานที่สำคัญ
งานที่สำคัญและได้รับมอบหมายจากหัวหน้ามานั้น แท้จริงแล้ว แม้หัวหน้าไม่ตามติดมาถาม ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่อยากรู้ความคืบหน้าของงาน
จริงมั๊ยครับ
ยังงั้นก็ควรส่งอีเมล์ไปบอกหัวหน้าให้รู้สถานะของงานเสียหน่อย
จะช้าหรือจะไวกว่ากรอบเวลาที่กำหนดไว้ก็ยังดีกว่าไม่บอกอะไรเลย ยิ่งในปัจจุบัน มีทั้ง LINE ทั้ง WAHTSAPP และสื่อส่งข้อความอื่นให้เขียนเมล์หากันได้โดยไม่ต้องเสียตังค์
ก็ส่งไปเถอะครับ เพียงแต่ระวังอาจจะถูกถามย้อนกลับเช่น ติดปัญหาอุปสรรคอะไรอยู่ ?
หรือต้องการให้ (หัวหน้า) ช่วยอะไรหรือเปล่า ? หากเตรียมตัวไม่ดี ตอบไม่ได้ ก็จะกลายเป็นประเด็นไป ระวังสักนิดนึงครับ
4. update งานให้หัวหน้าทราบบ่อย ๆ
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง
up
status เหมือนกัน Facebook นะครับ แต่หมายถึง update
ความคืบหน้าของงานให้ชัดเจนอยู่เสมอ
ร้องขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำกับการแก้ไขปัญหาเมื่อหาทางออกยังไม่เจอ
การทำงานแล้วติดปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายอะไรครับ
ตรงกันข้าม นั่นกลับเป็นโอกาสให้คนทำงานได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม คิดเสียว่า “ไม่มีปัญหา
ก็คงคิดหาแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาไม่ได้”
5. ไม่พลาดเวลานัดทำงาน
เวลานัดหมายไปทำงานกันนอกสถานที่หรือที่ไหน
รวมทั้งนัดหมายประชุมก็อย่าได้พลาดเชียวครับ ความไม่ตรงเวลานั้น แม้จะพอแก้ตัวได้
แต่ก็มักมีผลกระทบทางลบตามมาในทางที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือในสายตาของคนอื่นลงไปอย่างที่ท่านอาจจะไม่ได้คาดคิดไว้เลยทีเดียว
โดยเฉพาะหากเป็นงานสำคัญที่ขาดเราไม่ได้
ก็ยิ่งต้องการการตรงเวลามากขึ้นเป็นเงาตามตัว
6. ประเมินผลงานของตัวเองเป็นระยะ
รวมทั้งตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของทั้งหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานอย่างสร้างสรรค์
และก็อย่าได้หมายใจว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในชีวิตการทำงาน จะเหมือนกับคำวิจารณ์รายงานหน้าชั้นของอาจารย์หรืออาจารย์ที่ปรึกษานะครับ รับรองว่าเป็นหนังคนละม้วน
การประเมินตัวเองเป็นระยะ จึงช่วยให้เราเข้าใจว่าสิ่งใดที่ยังต้องมีการปรับปรุง
หรือสิ่งใดที่เป็นจุดแข็งที่จะต้องพัฒนาต่อไป
ไม่ควรที่จะรอให้หัวหน้ามาคุยด้วยฝ่ายเดียว เรารู้ตัวเราเองน่ะดีกว่าเป็นไหน
ๆ
7. หลีกเลี่ยงการอัพสถานะ social media อยู่ตลอดเวลา
คนทำงานในโลกที่เทคโนโลยีโทรศัพท์ก้าวหน้าไปเป็น
3G, 4G เช่นปัจจุบัน การเข้าถึงสังคมออนไลน์ง่ายเพียงในฝ่ามือ
และใช้ต้นทุนค่าบริการที่ไม่สูงมากเกินไปนัก โลกเสมือนจริง
ส่งผลให้คนทำงานนิยมสร้างตัวตนขึ้นมาอีกคนหนึ่ง จากคนที่ไม่เคยให้บริการใคร และไม่เคยใยดีความทุกข์สุขของเพื่อนร่วมงาน กลายเป็นคนที่ต้องไปเสิร์ฟอาหารเที่ยงให้กับคนแปลกหน้าทุกวันทางเครือข่ายออนไลน์
นานเข้ากลายเป็นสิ่งเสพติดที่แม้แต่จะกินข้าวกลางวันยังต้อง
up status ด้วยการถ่ายรูปอาหารมื้อเที่ยงให้ชาวบ้านเค้าน้ำลายไหลกัน
! โปรดอย่าลืมว่า การที่ท่านต้องคอยไป up status ของตัวในโลกออนไลน์นั้น คือการใช้เวลาทำงานขององค์กรไปทำเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรจะต้องทำกันเลย มองอย่างไรก็ผิดวินัยพนักงานอย่างแน่แท้ งั้นเอาแค่หอมปากหอมคอ
หากทนไม่ไหวก็รอให้พักเที่ยงสักนิดแล้วค่อยไป up โน่น นี่
นั่น มันก็ไม่สายครับ
8. ทำงานทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้น
พร้อมกับใส่ใจในรายละเอียดของการทำงาน
การทำงานให้สำเร็จนั้น เป็นสิ่งที่วัดฝีมือของคนทำงาน
จะต้องว่ากันไปตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน
ซึ่งก็ต้องตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบกันเพื่อให้งานเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิผล หากท่านทั้งหลายมีชื่อภาษาอังกฤษ
ผมก็จะขอตั้งชื่อกลางให้ท่านเป็น “can do” ไปเสียเลย อย่างไรกีด
ทัศนคติอันเป็นเยี่ยมกับการทำงาน แสดงออกได้ด้วย “รอยยิ้มแบบจริงใจ”
มากกว่าเรื่องใดเลยล่ะครับ
9. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีใน social media
คนทำงานยุคนี้ที่ไม่เคยเหยียบย่างเข้าในโลกออนไลน์
ว่ากันไปแล้วก็เชยอย่างได้อารมณ์นะครับ เมื่อโลกไซเบอร์
ขยับเข้ามาใกล้ชิดกับโลกการทำงานจริง
ก็เท่ากับท่านผู้อ่านจะต้องเริ่มต้นสะท้อนภาพลักษณ์ของตนสู่สังคมสาธารณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการเป็นมืออาชีพ ภาพลักษณ์คนทำงานที่มุ่งมั่น ขยันขันแข็งเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องเตรียมไว้สำหรับการณ์ใหญ่ในอนาคตนะครับ
จึงต้องพยายามให้สาธารชนเห็นภาพลักณ์ความมืออาชีพของท่านทั้งหลายให้ได้
10. ทำ
profile ออนไลน์เก็บไว้บ้างก็ดี
การมีประวัติการทำงาน
ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญรวมไว้เป็น Personal Profile เก็บไว้ในสื่อเครือข่ายทางสังคม
เป็นสิ่งจำเป็นที่ผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านต้องมี
เพราะไม่แน่เช่นกันว่าองค์กรอีกมากหลายอาจจะจะอยากให้ท่านไปร่วมงานกับเขาในอนาคต
นอกจากนี้ การมีตัวตนของเราในโลกไซเบอร์
ยังเป็นช่องทางในการรับเอาความคิดสร้างสรรค์ และข้อมูลใหม่ ๆ
เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงพัฒนาตนเองได้ ลองทำดูนะครับ
11. แนะนำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นทราบบทบาทหน้าที่ของตัวเอง
หลายครั้งหลายคราวที่เพื่อนร่วมงานที่ทำงานใกล้ตัวก็ยังไม่ทราบเลยว่า
ขอบเขตความรับผิดชอบงานของเรามีอะไรบ้าง พอเป็นแบบนี้
อยากจะฝากเพื่อนร่วมงานให้ช่วยรับเรื่องไว้ก็ไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่บุคคลที่เป็นลูกค้าภายนอกมาติดต่องานแต่เราไม่อยู่
ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะต้องให้ไปพูดคุยกับใคร
ส่งผลให้การสื่อสารขาดช่วง หรือเกิดปัญหาการประสานงานสะดุดลงได้
12. หยิบยื่นความช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่โอกาสเอื้ออำนวย
หากในการทำงานประจำวันหรือในบางวันทำงานไปแล้วพอมีเวลาเหลือ
หรือบางสถานการณ์ที่เพื่อนร่วมงานก็ยุ่งอย่างมาก
โปรดอย่าได้รีรอที่จะเอื้อเฟื้อด้วยการหยิบยื่นมือไปช่วยเพื่อนทำงาน
แม้จะไม่สามารถช่วยงานเพื่อฝูงได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ได้ใจไปมากโขแล้ว
การช่วยเหลือกันแบบนี้ ย่อมเป็นภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของหัวหน้างาน
และสะท้อนให้เห็นถึงความวางใจได้ของท่านเองนะครับ
13. มองหาพี่เลี้ยงที่มีฝีมือ
หากอยากเรียนรู้งานอย่างก้าวกระโดด
ก็โปรดอย่ารีรอที่จะสร้างสัมพันธ์กับรุ่นพี่ที่ฝีมือดีดีเอาไว้เพื่อเรียนรู้งาน และไหว้วานสอบถามให้พี่เค้าสอนงานในบางโอกาส
แต่กระนั้น
ก็อย่ามัวแต่พึ่งพิงพี่เลี้ยงจนกระทั่งลืมความตั้งใจและเอาใจใส่ที่จะทำงานด้วยตัวเองล่ะครับ
14. คบบัณฑิต
โบราณว่าไว้
“คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตหาไปหาผล”
คำสอนไทยสมัยก่อนกับแวดวงการทำงานปัจจุบันนั้นก็เปรียบได้กับการที่ท่านจะต้องรู้จักคบคนทำงานที่มีฝีมือดี
นอกเหนือจากการมองหาพี่เลี้ยงที่มีฝีมือคอยสอนงาน บัณฑิตนั้น
โดยปกติก็คือคนที่คิดแบบวก ๆ มองโลกในแง่ดี
มองปัญหาเป็นโอกาสเพื่อปรับปรุงและสร้างผลงานที่ดีในภายหน้า
มองหางานที่ท้าทายเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์รองรับการเติบโตในสายอาชีพ
ไม่ไปสุงสิงกับพวกคนทำงานที่ชอบเอาแต่ตำหนิคนอื่น แต่มองไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
หรือไปสมาคมกับคนเกียจคร้าน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ได้อะไรแม้แต่น้อย
นอกเสียจากผลงานที่แย่ ๆ
กับความไม่วางใจที่จะร่วมงานด้วยของทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า
15. เป็นสมาชิกที่ดีของทีมงาน
มีเรื่องเล่าอยู่ว่า
“ก่อนที่บัณฑิตจากสำนักฝึกวิชาอันเลื่องชื่อคนหนึ่งจะสำเร็จหลักสูตรที่สู่อุตส่าห์ร่ำเรียนมานานปี
สิ่งที่อาจารย์ใหญ่ให้ศิษย์ผู้เปี่ยมด้วยศักยภาพรายนี้ใคร่ครวญค้นหาคำตอบคือ
งานใดที่ทำได้เพียงคนเดียว ศิษย์ผู้มากฝีมือ นั่งคิดนอนคิดใช้เวลาข้ามคืนก็ยังค้นหาคำตอบไม่ได้
สุดท้ายก็นั่งแกะสลักไม้ให้เป็นรูปปั้นอันวิจิตร ก็ยังไม่วายฉุกคิดได้ว่า
งานแกะสลักที่ตนบรรจงทำมาค่อนคืนนั้น
ก็ต้องอาศัยมีดแกะสลักที่คมกริบจากฝีมือของช่างตีมีดนั่นเอง” เรื่องเล่านี้บอกให้รู้ว่า
ไม่มีการทำงานใดที่ทำคนเดียวในโลกหรอกครับ
การทำงานเป็นทีม
ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานของคนทำงานยุคนี้ เหตุผลง่าย ๆ
ก็เพราะลักษณะงานที่เคยไม่ยุ่งยาก
ได้เปลี่ยนมาเป็นภาระที่ซับซ้อนเนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำงานนั้นไม่เป็นอะไรที่
“มองกันแบบง่าย ๆ ” เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
ในการทำงานเป็นทีมนั้น
ท่านผู้อ่านจะต้องเรียนรู้และฝึกทักษะของการประสานงาน การต่อรอง
การให้เครดิตและผ่อนปรนหนักเบากับคนอื่น รู้จักแชร์ความรู้ประสบการณ์
และอีกหลายเรื่องระหว่างกัน หากทำงานกับคนอื่นแล้วมีแต่จะชวนทะเลาะ
สงสัยชีวิตการทำงานจะไม่ “รุ่ง” แน่เลยครับ
16. มีแผนการพัฒนาเพื่อเป็นมืออาชีพในการทำงาน
ด้วยการตั้งเป้าหมายในชีวิต
และเป้าหมายในการทำงานที่สอดคล้องต้องกัน ต้องรู้ว่า อะไรที่ตัวเองยังไม่รู้
หรือจำเป็นต้องรู้อะไรเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
บรรลุเป้าหมายได้ตามวัตถุประสงค์ของงาน ในระดับบุคคล จะเป็นไปทางนี้ได้
ท่านคงต้องรู้จักวางแผนการพัฒนาตนเองไปสู่จุดที่มุ่งหมายของชีวิตให้ได้ ส่วนในระดับองค์กร
ปกติแล้วก็มักจะมีแผนการพัฒนาที่มุ่งสร้างคนทำงานฝีมือบอด
เพื่อให้สร้างผลงานที่เป็นเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างที่ผมบอกไปแล้วหลายหนว่า
ทรัพยากรขององค์กรทั้งเงินและเวลานั้น
ไม่ได้มีเหลือเฟือเหมือนกับอากาศที่ใช้ไม่หมด
ดังนั้น องค์กรไม่ว่าแห่งใด
ก็เลือกที่จะฝึกอบรมพัฒนาคนทำงานที่มีศักยภาพและมีโอกาสสร้างผลงานที่คุ้มค่าเงินที่ลงทุนแลกกับผลงานของคนทำงาน เมื่อจะพัฒนา จึงมิใช่มองแต่มุมตัวเอง
จนลืมที่จะทำตัวให้เป็น “คนที่ใช่” ขององค์กรของท่านนะครับ
17. เข้าร่วมกลุ่ม
ชมรมหรือสมาคมทางวิชาชีพ
คนเก่งที่เปี่ยมไปด้วยฝีมือ
มักจะค้นหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองจากเครือข่ายทางอาชีพทั้งในรูปแบบของการเป็นสมาชิกหรือไม่เป็นสมาชิก
ชมรมหรือสมาคมทางอาชีพนี้
เจตนาหลักก็ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทั้งในทางอาชีพและเพื่อผลประโยชน์ของสังคมในภาพรวม
การได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมืออาชีพในสมาคมที่เป็นที่รู้จักนั้น นับได้ว่าเป็น
“บันไดดารา” หรือ “ใบเบิกทาง”
ไปสู่การมีชื่อเสียงหรือความเชี่ยวชาญในอาชีพได้มากทีเดียว
หากท่านจะสังเกตในเอกสารใบสมัครงานของหลายองค์กรก็มักจะมีข้อความที่ให้ระบุว่า
การเป็นสมาชิกของชมรมหรือสมาคมทางวิชาชีพใดหรือไม่ หากเรื่องนี้ไม่สำคัญ เค้าจะถามกันทำไมล่ะครับ ลองคิดดู !
18. ให้คำแนะนำเพื่อนร่วมงานที่ขาดโอกาส
เพื่อนร่วมงานของเราหลายคน
อาจจะขาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้ลักษณะงาน และลงมือทำงานเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ
ที่ท้าทาย เนื่องจากลักษณะงานประจำวันนั้นเป็นอะไรที่ routine อย่างมาก หากท่านได้รับโอกาสอันงามที่จะฝึกปรือในงานเรื่องใด ก็อย่าได้เอาแต่สิ่งดีเข้าตัว
จนลืมเผื่อแผ่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่คนอื่นที่ไม่ได้รับเช่นท่านบ้าง
ในโลกของการทำงาน คือโลกของการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่างตอบแทนระหว่างกันของคนทำงานกับคนทำงาน
และคนทำงานกับองค์กรเสมอ
การยื่นมือให้คำแนะนำหรือถ่ายทอดให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นในเงื่อนไขเช่นนี้ นอกจากจะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ
และอิ่มเอิบใจแล้ว ยังเป็นการส่งผ่านความรู้สึกชื่นชมระคนความนับถือระหว่างกันอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นเรื่องดีดีทั้งนั้นครับ
19. มีจิตอาสา
ในสังคมของคนเรานั้น
มีทั้งคนที่มากไปด้วยทรัพย์สมบัติ ในขณะที่อีกหลายคน
ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหรือได้หยิบจับทรัพย์สมบัตินั้นเลย
คนทำงานในองค์กรเช่นกัน ย่อมมีทั้งคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง
เงินเดือนแพงระยิบ
กับพนักงานปฏิบัติการที่ทำงานทั้งเดือนได้เงินเพียงแค่ยังชีพไม่ครบเดือนเสียด้วยซ้ำ สังคมเราจึงไม่เคยเท่าเทียมกันไม่ว่าจะในโอกาส
หรือสิทธิครอบครองทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด
การดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ จึงเป็นไปได้ด้วยการ “ให้และรับ (give and take)” ควบคู่กัน ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน
หากมีโอกาสที่จะแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีอยู่มากให้คนอื่นที่ขาดแคลนบ้าง
ไม่จำเป็นต้องเป็นเม็ดเงินมหาศาลเช่นเศรษฐีที่ร่ำรวยเงินทอง
ก็ขอให้มุ่งมั่นทำอย่างเต็มที่ ผลที่เกิดจากความตั้งใจอันดี
ย่อมนำมาซึ่งความสุขมวลรวมของสังคมได้ในที่สุดครับ
20. เปิดช่องให้ติดต่อได้
เมื่อการทำงานไม่ได้อยู่ในโลกส่วนตัวตามลำพัง
ย่อมมีทั้งคนที่รักชอบ คนที่ปรารถนาจะให้เราเติบโตในหน้าที่การงาน
และผู้ที่คอยให้ความเห็นเพื่อปรับปรุงการทำงาน เป็นต้น
จงเปิดใจพร้อมรับทั้งคำติและคำชม แล้วนำเรื่องเหล่านั้นมาคิดไตร่ตรอง
มองหาช่องว่างเพื่อพัฒนาตนเอง
โอกาสที่จะสำเร็จผลในชีวิตและในงานก็ไม่ไกลเกินไปครับ
งานแรกของน้อง
ๆ หลังจบจากมหาวิทยาลัย คือก้าวแรกกับการเริ่มต้นชีวิตจริงที่เหลืออีกอย่างต่ำก็
35 ปีจนกว่าจะเกษียณอายุงาน
จงเริ่มต้นด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม มีเป้าหมาย และก้าวเดินโดยอาศัยกลเม็ดเคล็ดลับที่ผมนำเสนอไว้เป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติ
เรื่องแบบนี้ มีดีให้ลองทำดูครับ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น